เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ที่แสวงหาแสวงหาสัจธรรมอันนี้ วันจะขึ้นปีใหม่ พอจะขึ้นปีใหม่นะ ทุกลัทธิศาสนาจะสอนให้ทำคุณงามความดี เห็นไหมชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันมีศาสนาหล่อหลอมพวกเราให้เราอยู่ร่วมกันได้ด้วยความปกติสุข

ถ้าไม่มีศาสนา เห็นไหมรัฐบาลจะบอกเลยว่า ใครอยู่ใกล้วัดไหนให้กลับไปทำบุญวัดนั้น ใครนับถือลัทธิศาสนาใดก็ให้ทำตามกิจกรรมของลัทธิศาสนานั้น เพื่ออะไรล่ะ เพื่อหัวใจนี้ไง หัวใจมันเร่าร้อนน่ะหัวใจเร่าร้อนหัวใจมันหาที่พึ่งแล้วหาที่พึ่งหาที่ไหนล่ะ หาที่พึ่งนะ เราจะมาทำบุญกุศลกันเราว่าบุญกุศลอยากพึ่งบุญกุศล

บุญยังไม่รู้จัก รู้จักแต่แบงก์ คิดว่าแบงก์เป็นบุญไงคิดว่าบุญกุศลคือลาภสักการะสิ่งที่ได้มา อันนั้นมันเป็นอำนาจวาสนาของคนนะถ้าคนมีมากมีน้อย เขาขวนขวายของเขามา ไอ้คนที่มีความสุขในหัวใจ จะมีมากมีน้อยนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยนะมันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องนั้นวัตถุมันเป็นเรื่องวัตถุ เรื่องของหัวใจเป็นเรื่องของหัวใจไง แต่หัวใจมันอาศัยวัตถุนั้นเป็นที่พึ่งอาศัย พอเป็นที่พึ่งอาศัยนะ มันก็ลืมตัวเองไปเกาะสิ่งนั้น

จะว่าทุกข์มันทุกข์จริงๆเกิดมา อริยสัจทุกข์ สมุทัย นิโรธมรรค สัจจะความจริงมันเป็นแบบนั้นๆ คนเราต้องขวนขวาย แต่การขวนขวายด้วยความชื่นบานการขวนขวายด้วยสติด้วยปัญญา มันไม่เดือดร้อนจนเกินไปไง

แต่การขวนขวายของเราขวนขวายด้วยความทุกข์ความยากขวนขวายด้วยการบีบคั้นขวนขวายด้วยความระทมใจมันทุกข์ แต่ถ้าเราขวนขวายมันต้องขวนขวายอยู่แล้ว สิ่งมีชีวิตมันต้องดิ้นรน สิ่งมีชีวิตมันต้องขวนขวาย ต้องดำรงชีวิตของมันแต่การดำรงชีวิตนั้นดำรงชีวิตไว้ด้วยบุญกุศล เราไปวัดไปวาก็ไปเพราะเหตุนี้

เราทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลเราเสียสละ เสียสละเพื่อใคร เสียสละเพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจนะถ้ามันไม่ทุกข์ไม่ยากนะ มันยังไม่มีคุณค่าเท่าไรหรอก แต่หัวใจถ้ามันทุกข์มันยากขึ้นมา มันหาทางออกขึ้นมาแล้วมันจะแสวงหาของมันไง แล้วหัวใจที่มันทุกข์มันยากจะเอาอะไรไปรักษามันล่ะ มันมีธรรม ธรรมมันคืออะไรล่ะ ธรรมก็อยู่ในตู้พระไตรปิฎกไง ธรรมก็อยู่บนหิ้งนู่นน่ะ ธรรมอันนั้นเราไปเคารพบูชา เวลาเราจุดธูปจุดเทียนไหว้พระ เราไหว้พระเพื่ออะไรล่ะ ให้หัวใจมันมีที่พึ่งหัวใจนี้ให้มีที่พึ่ง

คนเราทุกคน เวลาเด็กน้อยมันคิดถึงพ่อแม่มัน เวลามันเก่งมันพูดจาเก่งทั้งนั้นน่ะ ถ้าพ่อแม่ไม่ให้นมมันกินมันก็อยู่ไม่ได้หรอก นี่ไง มันพูด มันเก่งไปหมด แต่มันก็ต้องอาศัยพ่อแม่มันอยู่ จิตใจจิตใจที่มันทุกข์มันยาก เราจะอาศัยอะไรอาศัยพ่อแม่ พ่อแม่ก็ได้แต่ปลอบใจ พ่อแม่ให้แต่วัตถุเท่านั้นน่ะแต่สัจธรรมๆ มันมาจากไหน

ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เป็นผู้นำแต่เวลาศาสนาศาสนาทุกศาสนาหล่อหลอมคนให้จิตใจมันมีความแบ่งปัน ถ้าความแบ่งปันอันนั้นเราไม่ทุกข์จนเกินไปไง

“ของกูๆ” อะไรก็เป็นของกูหมดเลย ถ้า “ของกูๆ” ใครแตะไม่ได้เลย ใครแตะไม่ได้ ใครแตะแล้วเป็นอันว่าเดือดร้อน

ฝึกหัดมันของอะไร ของเราเราหามาเราก็หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงเรานี่แหละเพราะเราหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง ถ้าจิตใจเราพัฒนา มันรู้จักเสียสละของมันถ้ามันเสียสละ สิ่งที่มันเหลือ สิ่งที่มันเกินไป เราเสียสละ เสียสละเพื่อประโยชน์กับเราไง เสียสละเพื่อหัวใจดวงนี้ไง ถ้าหัวใจดวงนี้ ให้มันผ่อนคลายถ้ามันผ่อนคลายมันตึงเครียดเกินไป มันตึงเครียดในหัวใจ นี่พูดถึงการเสียสละ ถ้าเสียสละเพื่อหัวใจดวงนี้นะ

ฉะนั้นเวลาเราจะไปวัดไปวา ถ้าไปวัดไปวา ไปวัดไปวาวัดที่ข้างบ้าน วัดที่เขาแสวงหาต่างๆเขาก็จะหาแต่วัตถุนั้น เขาจะเชิดชูกันได้ว่าวัดที่เจริญเขาต้องมีสิ่งปลูกสร้างที่งดงาม เขาบอกว่าเจ้าอาวาสเป็นผู้ที่มีบารมีสร้างสิ่งนั้นมา พอสร้างสิ่งนั้นมา ทุกคนก็ไปแข่งขันกันที่วัตถุกันที่สิ่งก่อสร้างนั้น

แต่ถ้าเราเป็นวัดปฏิบัติ เราไปวัดปฏิบัติเวลาใครมาใหม่เราช่วยกันคนละไม้คนละมือ เรามีน้ำใจต่อกันไง มันเครื่องอาศัย เราแบ่งปันกัน ทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราหลีกเร้นกัน เราหลีกเร้น เรามาวัดปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่ออะไรล่ะ

ปฏิบัติเริ่มต้นตั้งแต่ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ ศาสนาหล่อหลอมคนให้มีน้ำใจต่อกัน ถ้าหล่อหลอมคนให้มีน้ำใจต่อกัน มันก็น้ำใจทางโลกมันเป็นวัฒนธรรมประเพณีทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีๆคนดีแล้วไปไหนล่ะ คนดีก็ตายหมด คนดีก็ต้องตายนะ

เราเกิดมาชาติหนึ่ง เราเกิดมาชาติหนึ่งนะ ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ การกำเนิด ๔ เราไปห้ามมันไม่ได้หรอก มันมีของมันเพราะมันมีเวรมีกรรมของมัน เพราะเราทำทุกคนทำกรรมดีกรรมชั่วมา กรรมดีกรรมชั่วนั้นฝังมาแต่จิต ปฏิสนธิจิตๆ เวลาเขาระลึกอดีตชาติอดีตชาติก็ระลึกไปที่จิตของตัวเองนั่นแหละ จิตตัวเองเคยเกิดบนภพใดชาติใดมันฝังลงที่จิตนั้นเวลาย้อนกลับไปมันก็ย้อนกลับไปที่นั่น แล้วมันมาเกิด กำเนิดอันนั้น ด้วยเวรด้วยกรรมอันนั้นมันต้องให้กำเนิดพอกำเนิดขึ้นมากำเนิดเป็นคนชาติหนึ่งๆ เกิดมาเกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนาสอน สอนให้สิ้นสุดแห่งทุกข์

“โอ้โฮ! สิ้นสุดแห่งทุกข์เชียวหรือ แล้วเมื่อไหร่มันจะสิ้นสุดล่ะ”

สิ้นสุดอย่างนี้เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ก็เพราะว่าชำระกิเลสนี่แหละเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นสุดแห่งทุกข์ เป็นศาสดานั่นน่ะเป้าหมายที่นั่น แต่เวลาเผยแผ่ศาสนามาเราก็บุญกุศลๆ ก็อ้างบุญกุศล แล้วบุญกุศลก็อ้างกันแต่วัตถุไง ใครมีมากมีน้อย อ้างกันตรงนั้นไง

เราเป็นคนทุกข์คนจน เราจะไม่มีเลยก็ไม่เป็นไร เรามาวัดมาวา มาวัดมาวาเรามาด้วยค่าของน้ำใจ คนเรานะอำนาจวาสนามันไม่เหมือนกันหรอก กำลังคนไม่เหมือนกัน เราจะมีมากมีน้อยเราอนุโมทนาไปกับเขา เราชื่นบานไปกับเขานี่ไง เวลาชื่นบานไปกับเขา หัวใจมันมีคุณธรรม มันชื่นบานไปกับเขาเราทำของเราได้นี่มีกิจกรรมแล้วเรามาวัดมาวาเราทำเพื่อเหตุนี้ไง มาวัดปฏิบัติเขาปฏิบัติ เขาปฏิบัติเพื่อใจ เพื่อน้ำใจ เห็นไหม

ฉะนั้นเวลามาวัดแล้วสิ่งที่มา เราได้เสียสละแล้ว เราจะพูด เสียสละนี่คือค่าน้ำใจแล้วแหละ ฉะนั้น สิ่งที่ว่า เดี๋ยวจะถวายปัจจัย สตางค์นั่นน่ะไม่ต้องก็ได้ ไม่จำเป็น ไม่ต้องมาวัดแล้วต้องมาทำบุญกุศลแล้วยังต้องมาถวายสตางค์อีกไม่ต้อง ไอ้เรื่องสตางค์ ไอ้เรื่องที่เขาถวาย เพราะเขามากันตอนบ่ายๆ พอจบตรงนี้แล้วนะเดี๋ยวคนนู้นมาคนนี้มา อยากมาทำบุญๆ ก็เปิดทางให้เขา แต่ของเราไม่ต้องไม่ใช่เห็นคนอื่นทำก็ต้องทำแบบนั้น

แล้วเด็กๆ เด็กๆ ต้องมีบัตรๆ...ไม่ต้องๆ ไม่ต้องมีบัตร ค่าน้ำใจมันอยู่ที่ค่าน้ำใจบุญมันอยู่ที่นั่นบุญมันไม่ได้อยู่ที่เศษกระดาษอันนี้ แต่เศษกระดาษอันนี้โลกเขาตื่นเต้นกัน โลกเขาเอาไว้ใช้จ่ายชำระหนี้กัน เราก็อย่างนั้นน่ะ ค่าน้ำใจๆ นี้สำคัญ

ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เช้าออกบิณฑบาตนะด้วยน้ำใจของเขา เขาระลึกถึงชาวพุทธ ตื่นขึ้นมาเขาหุงหาอาหารของเขาเพื่อดำรงชีพของเขา เพราะแต่เดิมเรากสิกรรมเช้าต้องหุงหาอาหาร ทานข้าวเสร็จแล้วเขาเก็บอาหารไว้กินกลางวัน ออกไปทำไร่ไถนาของเขา ภิกษุภิกขาจาร เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งน้ำใจอันนั้นเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพไว้ทำไมล่ะ เลี้ยงชีพไว้ขวนขวายเลี้ยงชีพไว้ประพฤติปฏิบัติเลี้ยงชีพไว้เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาให้เกิดคุณธรรมขึ้นมา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาออกบวช ข่าวร่ำลือไป พระเจ้าพิมพิสารปกครองแว่นแคว้นที่ใหญ่กว่าเป็นกษัตริย์เหมือนกัน ก็คิดว่าเขาโดนปฏิวัติออกมา ให้กองทัพครึ่งหนึ่งนะ ให้เจ้าชายสิทธัตถะไปเอาอำนาจคืน

เจ้าชายสิทธัตถะบอกไม่ใช่ ภูมิใจเต็มใจ บารมีเต็ม จะออกมาพระโพธิญาณอยากจะหาสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

พระเจ้าพิมพิสารสัญญาไว้เลย ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเมื่อไหร่ ให้กลับมาสอนด้วยให้กลับมาสอนด้วย นี่เผื่อแผ่ขนาดนั้นนะ

นี่เราเลี้ยงชีพไว้ทำไมเลี้ยงชีพไว้ขวนขวายไงเลี้ยงชีพไว้ขวนขวาย มาวัดปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาค้นคว้าหาจิตของเรานะถ้าไม่รู้จักหาจิตของเรา ไม่รู้จักที่เกิด ปฏิสนธิจิตมันมาเกิดในไข่ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ มันมาเกิดเป็นเรา แล้วเราจะชำระความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วก็ไปตะครุบเงากัน ไปดูที่ความคิดไง

ความคิดเรามีศรัทธามีความเชื่อ มีความคิด ความปรุง ความแต่งขจรขจายไปทั่วคิดได้ร้อยแปดเลย เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จินตนาการจะพ้นทุกข์ๆ

ดูพระเราสิ เวลาพระเราหลวงตาท่านสอนบ่อย ถ้าไม่ทำอะไรเลยมันก็เหงา มันก็ต้องหาอะไรทำพอแก้รำคาญ พอทำไปๆ ไม่ทำมันรำคาญ ทีแรกก็ทำแก้รำคาญไงนี่สังขารมันคิดขันธ์ ๕ มันคิดเลยเรานั่งว่างๆ หาอะไรทำแก้รำคาญ พอทำไปๆ มันติด มันชอบ ไม่ทำมันรำคาญ

นี่ไง ถ้าปัญญารอบรู้ในกองสังขารสังขาร ความคิดความปรุง ความแต่ง นี่ควบคุมมันควบคุมมัน เรามีสติปัญญา อันนั้นก็งาน ฉันข้าวก็งาน เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิก็งาน มันงานเหมือนกันหมดแต่ชอบหรือไม่ชอบ เวลากินนี่ชอบ นี่ไม่ใช่งานอันนี้เป็นความสุขเวลาจะหามาเพื่อจะกิน อันนี้ทุกข์งานเหมือนกัน ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันจะรักษาใจของเรา

ให้ทำงาน งานของเขา งานของฆราวาสเขา เขาต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัยของเขา นี่ทางคับแคบ คับแคบว่าสิ่งนั้นเขาต้องหาปัจจัย ๔ หามาเพื่อเลี้ยงชีวิตเลี้ยงชีวิตเสร็จแล้วอยากจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ต้องประพฤติปฏิบัติประพฤติปฏิบัติก็กลัวว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปหาปัจจัย ๔ ไม่ไหวนี่กิเลสมันอ้างอย่างนั้นน่ะ

ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร สละสถานะของความเป็นฆราวาสมาบวชเป็นภิกษุ ภิกษุเห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นภัยในวัฏสงสารเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งขึ้นมาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติเพื่อหาความสุขความสงบระงับ

นี่ไง เราจะบอกว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่ศาสนาไหนชี้เข้าไปถึงที่เกิด ที่แก่ ที่เจ็บ ที่ตายอะไรมันมาเกิดเกิดมาทำไม อยู่ทำไม แล้วเวลาจะตายไป ตายไปด้วยความละล้าละลัง ตายไปด้วยความทุกข์ความยาก

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตาย เดินไป เดินธุดงค์ไปจะไปตาย เทศน์ไปสอนตลอดทาง แม้แต่วันสุดท้าย นายจุนทะได้ข่าวมาก็มาถวายอาหารองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถวายสูกรมัททวะ แล้วฉันไม่ได้ เพราะร่างกายมันชราภาพเต็มทีแล้ว แล้วฉันไปคนอื่นมันก็ย่อยไม่ได้ให้ไปเททิ้ง

สุดท้ายแล้วก็เป็นกังวล“อานนท์ เธอบอกเขานะ ถ้าเราตายไป เขาจะหาว่าไปกินอาหารมื้อสุดท้ายของนายจุนทะอาหารเป็นพิษขึ้นมาไปตาย นายจุนทะเขาจะมีเวรมีกรรมตลอดไป ให้บอกเขานะว่าอาหารที่ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีผลประเสริฐมีอยู่ ๒คราว คราวหนึ่งคือฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงซึ่งกิเลสนิพพานกิเลสตัณหาความทะยานอยาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หักเรือนยอดอันนั้นไป แล้วอีกคราวหนึ่งเราได้ฉันอาหารของนายจุนทะแล้วเราถึงซึ่งขันธนิพพาน”

ขันธ์คือขันธ์ ๕ คือภาระหน้าที่ ร่างกายและความคิดที่มันสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งที่เหลือไว้ ๔๕ ปี ขันธนิพพาน ต้องสละมันทิ้ง

ในคราวทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีผลอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วถึงซึ่งกิเลสนิพพานกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชำระล้างไปโดยมรรคญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกคราวหนึ่งเราฉันอาหารของนายจุนทะแล้วถึงซึ่งขันธนิพพานเพราะต้องไปสละชีวิตนั้น

นี่ไง เวลาตาย ตายไปด้วยความสุข ตายไปด้วยความพอใจตายไปด้วยไม่มีภาระหน้าที่ ตายไปแล้วไม่มีอะไรกังวลเลย นี่ไง ถึงไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายไง

แต่พวกเราตาย กังวลไปหมดเลย ตายแล้วใครจะจัดงานศพให้ก็ไม่รู้ตายแล้วเขาจะรู้ว่าเราตายหรือยังก็ไม่รู้ ตายแล้วใครจะส่งข่าวไปให้ใครก็ไม่รู้ ตายแล้วลูกจะคิดถึงเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตายแล้วลูกเรามันจะห่วงเราหรือไม่ห่วงเราก็ไม่รู้ เห็นไหม ตายไปด้วยความทุกข์ทรมานแล้วก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดกรรมจะพาไปเกิดความคิดนี่แหละจะพาไปเกิดเพราะมันมีอยู่กับจิต

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปตาย สั่งสอนเขาไปทั่วบอกเขาไปตลอดทาง ไปถึงสุดท้ายพระอานนท์บอก“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตายไปแล้วทำอย่างไร”

“อานนท์เธอไม่ต้องเป็นห่วงกังวลหรอกกษัตริย์เขาทำกันเอง”

“แล้วถ้ากษัตริย์เขาจะมาถามว่าทำอย่างไร”

“ก็ทำให้เหมือนจักรพรรดินั่นน่ะ เวลาตายไปแล้วให้ห่อด้วยผ้าขาว”

นี่จะไปตายยังสอนเขาตลอด สอนคนที่มันยังไม่ตายน่ะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปตายยังสอนเขาไปทั่วสุดท้ายแล้วเวลาท่านนิพพานไปจบ

นี่พูดถึงว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่ศาสนาไหนสอนถึงที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ ถ้าที่สิ้นสุดแห่งทุกข์มันต้องสอนลงไปที่เกิดแล้วอะไรมาเกิดล่ะ แล้วอะไรมันอยู่ที่ไหนล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์

ฉะนั้น เราทำบุญกุศลเพื่อเหตุนี้ พอสิ้นปีเราขวนขวายจะไปทำบุญกุศลกัน ทำ เราก็ทำของเรานั่นแหละทำอันนี้เพื่อมงคลชีวิต ทุกคนอยากมีมงคลชีวิต มีความมั่นคงของชีวิตไงแต่ถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจ ใครจะตื่นเต้นไปอย่างไรเราก็ยิ้มๆ เรามีสติมีปัญญา ดูแลรักษาชีวิตของเรา ทำเพื่อประโยชน์ในชีวิตเรา เอวัง